หากสังเกตดูให้ดีจะพบว่า อัญมณีแต่ละชนิดนั้นถูกตั้งให้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ อย่างมูนสโตน อัญมณีสีขาวกึ่งโปร่งแสงสามารถเหลือบแสงเปล่งประกายจนลักษณะใกล้เคียงกับไข่มุก ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัญมณีแห่งนักเดินทาง มาพร้อมกับความสวยงาม ผู้คนเชื่อว่ามันสามารถช่วยเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตได้ มันจึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอัญมณีที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าอัญมณีชนิดอื่น ๆ
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับมูนสโตน อัญมณีที่เหลือบแสงสวยงาม
มูนสโตนเป็นหินนำโชคที่มีสูตรทางเคมีเป็นโซเดียมโพแทสเซียมอะลูมิเนียมซิลิเกต ถูกจัดให้เป็นหินชนิดเฟลห์สปาร์ในกลุ่มแร่ออโธแคลช การเหลือบแสงสวยงามของมันเกิดจากการก่อตัวระหว่างเฟลห์สปาร์ในกลุ่มแร่ออโธแคลชและกลุ่มอัลไบต์ ทั้งสองสิ่งแยกตัวออกเป็นชั้นและสลับกันไปมา
เมื่อมีแสงตกกระทบระหว่างช่องว่างบาง ๆ ในแต่ละชั้น ทำให้เกิดการกระจายแสงไปในบริเวณโดยรอบ มีการเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า อะดุลลาเรสเซน ช่องว่างในแต่ละชั้นจะต้องมีค่าที่ใกล้เคียงกับความยาวคลื่นแสง ถึงจะสามารถเกิดปรากฏการณ์ที่ว่าได้ ซึ่งค่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.5 ไมครอนเท่านั้น
มูนสโตนในปัจจุบันถูกวัดราคาและคุณค่าจากรูปแบบการเหลือบแสงของมัน หากสามารถเหลือบแสงออกมาเป็นแสงสีขาวหรือสีน้ำเงินคล้ายกับเงาที่สะท้อนจากแสงของดวงจันทร์ก็จะมีราคาที่สูงเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตามมันยังคงเป็นอัญมณีที่ในแต่ละพื้นที่ แต่ละก้อน ก็มีส่วนประกอบที่สัดส่วนแตกต่างกันออกไป และถึงราคาจะแพงมากแค่ไหน แต่โดยปกติแล้วมูนสโตนก็ไม่ได้มีราคาที่สูงมากมายนัก
เนื่องจากเป็นอัญมณีที่สามารถค้นพบได้ทั่วโลก มูนสโตนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อในหลายพื้นที่ทั่วโลกตั้งแต่ยุคอารยธรรมโบราณ จนผู้คนบางอารยธรรมยกย่องให้มันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเลยทีเดียว ในปัจจุบันมันได้รับความนิยมในฐานะเครื่องประดับที่ช่วยสร้างความสวยงาม และช่วยเสริมให้ดวงของเราดีขึ้นกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือ มันค่อนข้างเปราะ มีแนวโน้มที่จะแตกได้หากถูกกระแทกแรง ๆ
เปิดเรื่องเล่าในตำนานเกี่ยวกับมูนสโตน
มูนสโตนไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องรางที่ช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลในช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันเกี่ยวข้องกับหลายอารยธรรมของมนุษย์โลกตั้งแต่ในสมัยโบราณแล้ว ในฝั่งเอเชียเชื่อว่า มูนสโตนที่มีสีฟ้าจะดีที่สุด เนื่องจากถูกพัดพาขึ้นมาจากในน้ำ และจะเกิดขึ้นในปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงทุก 21 ปีเท่านั้น
ทางฝั่งตำนานฮินดูกล่าวว่า มันถูกสร้างขึ้นมาจากแสงของพระจันทร์ที่แข็งตัวกลายเป็นก้อน และในหลายวัฒนธรรมยังเชื่อมโยงอัญมณีดังกล่าวเข้ากับพระจันทร์อีกด้วย น่าจะเกิดจากความสามารถพิเศษอย่างการเหลือบแสง ที่มีความแวววาวเหมือนกับแสงของดวงจันทร์ที่พ้นผ่านเมฆบาง ๆ ออกมา
ชาวโรมันในอดีตเชื่อว่า มูนสโตนเป็นอัญมณีที่หากเรานำเอามาล้อมรอบภาพเทพีไดอาน่าผู้เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์ จะช่วยเสริมทั้งด้านความรัก ชัยชนะ ความมั่งคั่งร่ำรวย และทำให้ผู้ครอบครองมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด บ้างก็ว่ามันมีความสามารถในการชำระล้างจิตใจ
ใครที่ได้สวมใส่จะมีการตัดสินใจที่หลักแหลม ช่วยให้ทั้งหัวใจและจิตใจทำงานประสานเข้ากันได้อย่างลงตัว หากผู้ครอบครองเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาและไม่ควบคุมสติของตนเอง ก็จะทำให้อัญมณีชนิดนี้เสียความสามารถในการเหลือบแสงสวยงามไปทีละเล็กน้อยจนหายไปหมด
มันได้รับการยกย่องให้เป็นอัญมณีแห่งฤดูหนาว ส่วนในฝั่งชาวตะวันออกมันเป็นที่รู้จักในชื่ออัญมณีแห่งปรากฏการณ์ มักนิยมสวมใส่ในวันจันทร์ ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานครบรอบ 13 ปี เพราะเชื่อว่ามันจะช่วยป้องกันลางร้ายจากเลข 13 ได้เป็นอย่างดี นั่นเอง
นอกจากนี้ในประวัติศาสตร์อินเดียมันยังจัดเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา ประดับอยู่บนหน้าผากของเทพแห่งดวงจันทร์ ในอินเดียจึงนิยมขายโดยการวางไว้บนผ้าสีเหลืองซึ่งเป็นสีมงคล
เมื่อคู่รักซื้อไปครอบครองก็จะทำให้มีพลังงานช่วยกระตุ้นอารมณ์ ทำให้รักกันแน่นแฟ้น แถมยังว่ากันว่าช่วยให้เราสามารถมองเห็นอนาคตได้อีกด้วย เพียงแค่อมอัญมณีไว้ในปากขณะที่กำลังมองเห็นพระจันทร์เต็มดวง
มูนสโตน อัญมณีที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ผู้คนเชื่อมาอย่างยาวนาน
มูนสโตนถูกใช้เป็นเครื่องรางมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ชาวต่างชาติยกย่องให้มันเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งดวงจันทร์ ช่วยให้มนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับดวงดาวได้ สำหรับนักเดินทางมันจะช่วยปกป้องคุ้มครองในยามกลางคืน ให้เราเดินทางไปไหนมาไหนอย่างปลอดภัย
สามารถใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยส่องแสงสว่างไปสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยสติปัญญา ส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ และจิตใจของมนุษย์ ทำให้เรารู้สึกสงบสุขและได้เรียนรู้ถึงจังหวะชีวิตมากขึ้น
มูนสโตนแต่ละสียังช่วยเสริมดวงในแต่ละด้านที่แตกต่างกันออกไป หากเป็นสีฟ้าจะช่วยให้เราเข้าใจในตัวเอง วางแผนในชีวิตได้ดี และช่วยให้พลังงานหยินหยางเกิดความสมดุล สีเทาจะช่วยเรื่องการรับรู้ เปิดสัมผัสที่ 6 ให้เราได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยมองเห็น
สีขาวจะช่วยนำพาพลังงานของดวงจันทร์ที่ทำให้เราเข้าใจการทำงานของจิตใจ กระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก ช่วยป้องกันฝันร้าย หากเป็นสีเหลืองจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความกังวล ช่วยส่งเสริมความรักในทุกสถานการณ์
สีรุ้งจะช่วยปกป้องและชำระล้างจิตใจของเรา ทำให้จิตใจสงบและนอนหลับฝันดี แถมยังเยียวยาการบาดเจ็บทางจิตใจได้อีกด้วย และสุดท้ายคือสีดำ สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหากับคนใกล้ตัวหรือเพิ่งอกหักมาหมาด ๆ มันจะช่วยดูดซับพลังงานลบออกจากร่างกายและจิตใจ ทำให้เรารู้สึกดีและสงบขึ้น
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ สายมู.com