ในประเทศจีนมีตำนานมากมายโดยเฉพาะเรื่องราวของสัตว์วิเศษทั้งหลาย และคนไทยเราก็ได้รับอิทธิพลดังกล่าวมาแบบเต็ม ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นรูปปั้นสัตว์วิเศษเหล่านี้อยู่ตามอาคารบ้านเรือนจนเป็นเรื่องที่ชินตา และหนึ่งในนั้นก็คือ สิงห์คู่ นั่นเอง พวกเขาเป็นทวารบานหรือผู้ปกปักรักษาที่จะช่วยคุ้มครองและเสริมดวงให้กับผู้ที่อยู่อาศัย พวกเขาคือใครมาจากไหนและมีวิธีการตั้งอย่างไร ไปดูกันเลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เปิดที่มาของสิงห์คู่ตามตำนานของชาวจีน
สิงห์คู่เป็นสัตว์เทพที่ชาวจีนเชื่อว่า เป็นตัวแทนแห่งการปกปักรักษาตามสถานที่ต่าง ๆ และคอยช่วยกำจัดความชั่วร้ายออกไปให้พ้นทาง พวกเขามีลักษณะนิสัยที่ดุร้าย แต่เฉลียวฉลาด ร่างกายแข็งแรง มีสัญชาตญาณนักล่าอย่างเต็มที่
ตามอาคารบ้านเรือน อาคารสำนักงาน วัดทั้งวัดไทยและจีน ล้วนแล้วแต่มีสิงโตที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าทั้งซ้ายและขวา ซึ่งก็คือพวกเขานั่นเอง เพียงแต่อาจจะมาจากความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป
ในภาษาจีนคำว่าสิงโตอ่านว่า ชี ว่ากันว่ารากศัพท์มาจากภาษาเปอร์เซีย เนื่องจากสิงโตได้ถูกนำเข้าสู่ประเทศจีนครั้งแรกในยุคราชวงศ์ฮั่น คณะทูตจากตะวันออกกลางได้นำเอาสัตว์ผู้เป็นเจ้าป่าสายพันธุ์นี้มามอบให้กับกษัตริย์เพื่อเป็นเครื่องบรรณาการ
หลังจากเข้าสู่ศตวรรษที่ 6 สิงห์คู่ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ตามสถานที่ทั้งหลาย และแพร่หลายไปทั่วทั้งทวีปเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ศรีลังกา เนปาล เมียนมาร์ กัมพูชา และไทย
สิงห์คู่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัตว์ที่ปรากฏอยู่ในตำนานฝั่งเอเชียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในฝั่งทวีปยุโรปก็เชื่อว่า พวกเขาเป็นสัตว์นำโชคเช่นเดียวกัน โดยใช้ชื่อเรียกทับศัพท์ว่า Fu Lions โดยคำว่า ฟู เป็นการนำเอาภาษาจีนที่มีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองหรือพระพุทธเจ้า มาใช้ในการให้ความหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนไม่เคยใช้คำดังกล่าวในการนำหน้าคำว่า ชี ที่หมายถึงสิงโตเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เพียงเท่านั้นบางครั้งทางฝั่งยุโรปยังมีการเรียกชื่อสิงโตคู่ว่า Foo Dogs ที่มีความหมายถึงสุนัขอีกด้วย
เชื่อว่าเกิดจากการที่ชาวตะวันตก นำเอาคำจากประเทศญี่ปุ่นมาใช้ เนื่องจากในญี่ปุ่นก็เรียกสิงโตคู่นี้ว่า Korean Dogs เช่นเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่มีการขนส่งสินค้าจากประเทศจีนผ่านมาทางเกาหลี ก่อนที่จะเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
ไม่เพียงเท่านั้นหากมองจากลักษณะภายนอกที่เป็นเพียงแค่รูปจำลองธรรมดา พวกเขายังมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสายพันธุ์สุนัขในประเทศจีนอย่าง เชา เชา อีกด้วย นอกจากนี้คำว่า ชิสุ ยังมีความหมายถึง สุนัขสิงโต อีกด้วย ดังนั้นชาวตะวันตกจึงอาจมีความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปและเรียกพวกเขาด้วยคำว่า dog แทน
สิงห์คู่ จะประกอบไปด้วยสิงห์ตัวผู้และสิงห์ตัวเมีย ตัวเมียเท้าด้านซ้ายจะตะปบลูกสิงโตตัวน้อยเอาไว้ ส่วนตัวผู้จะใช้เท้าซ้ายในการตะปบลูกบอลผ้า ไม่เพียงเท่านั้นยังเชื่อกันอีกด้วยว่า สิงห์คู่เป็นสัญลักษณ์แทนหยินและหยาง ช่วยปรับพลังงานภายในอาคารให้มีความสมดุลมากขึ้นกว่าเดิม
แต่อย่างไรก็ตามด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้รูปจำลองของสิงห์คู่บางครั้งก็ไม่มีการใช้เท้าซ้ายตะปบอะไรทั้งนั้น บ้างก็วางไว้บนพื้นในท่านั่งธรรมดา บ้างก็เป็นรูปสิงโตนอนในท่าทางที่สงบ ท่าทางของพวกเขาจึงขึ้นอยู่กับพื้นที่และอารยธรรมนั่นเอง
สิงห์คู่ จากสัตว์ในตำนานสู่การเป็นของนำโชค
สิงห์คู่ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นของมงคลที่นิยมนำเอามาประดับตกแต่งตามอาคารบ้านเรือน เพื่อช่วยเสริมดวงในเรื่องการป้องกันอันตราย และช่วยเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่ภายใน รูปจำลองของพวกเขามักจะถูกหล่อขึ้นมาจากโลหะอย่างเหล็กหรือทองเหลือง บ้างก็ถูกแกะสลักโดยหินอ่อนหรือหยก
หากย้อนกลับไปในยุคโบราณ การจะสร้างรูปจำลองของพวกเขาขึ้นมานั้น มีค่าใช้จ่ายที่สูงเป็นอย่างมาก และคนทำยังต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญอีกด้วย จึงทำให้ได้รับความนิยมเฉพาะในกลุ่มคนมีฐานะ หรือคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สิงห์คู่จึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยไปโดยปริยาย
แต่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีมากมาย ช่วยให้การผลิตทำได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม สามารถหล่อขึ้นมาจากเรซิ่นหรือคอนกรีตก็ได้ ทำให้มีราคาที่ถูกลง คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถหาซื้อมาตั้งไว้ที่บ้านได้เช่นเดียวกัน มันจึงกลายเป็นของที่ได้รับความนิยม โดยที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในกลุ่มคนร่ำรวยอีกต่อไป
การวางสิงห์คู่ภายในบ้าน
การวางสิงห์คู่ภายในบ้านต้องอาศัยหลักฮวงจุ้ยในการวาง เชื่อกันว่าตัวเมียจะทำหน้าที่ปกปักรักษาสมาชิกที่อาศัยอยู่ในอาคารบ้านเรือน ส่วนตัวผู้จะมีหน้าที่ในการปกป้องรักษาอาคาร สำหรับตำแหน่งในการวางโดยปกติแล้วจะวางไว้ใกล้กับประตูบ้าน โดยหันหน้าออกจากบ้านของเรา
เพื่อให้สิงห์คู่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับยามเฝ้าอาคารนั่นเอง ตัวผู้จะอยู่ทางฝั่งขวาและตัวเมียจะอยู่ทางฝั่งซ้ายหากมองจากด้านนอกเข้าสู่ตัวอาคาร แต่ก็มีบางคนที่นำเอามาวางประดับไว้ภายในบ้านเช่นเดียวกัน แต่หากจะให้ถูกต้องตามหลักจริง ๆ ก็ต้องวางเอาไว้นอกบ้าน พวกเขาจึงจะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุด
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ สายมู.com