หากพูดถึงตัวละครในภาพยนตร์สยองขวัญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีการนำเอากลับมาใช้บ่อยที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น แวมไพร์ อย่างแน่นอน พวกเขาเป็นวิญญาณร้ายที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีชีวิตที่เป็นอมตะแล้ว ยังดูดเลือดผู้คนสามารถเปลี่ยนให้คนธรรมดากลายเป็นผีเหมือนกับตนเองได้ หรือบางคนเคราะห์ร้ายก็อาจจะต้องเสียชีวิตไปเลยก็มี พวกเขาน่ากลัวจนถึงขั้นที่ในช่วงเวลาหนึ่งมีชื่อเรียกอาการความกลัวนี้โดยเฉพาะกันเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับความเป็นมาของแวมไพร์ พวกเขาเป็นใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เปิดประวัติความเป็นมาของแวมไพร์ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง
แวมไพร์ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของผีดูดเลือด ที่เราต่างทราบกันดีว่าพวกเขานั้นเป็นอมตะ มีผิวสีขาวซีด บางครั้งก็ว่ากันว่ามีดวงตาสีแดง มีพละกำลังเหนือมนุษย์ ส่วนใหญ่มักร่ำรวยเพราะอยู่มานาน ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดูดเลือดของมนุษย์ประทังชีวิต
ถึงแม้ว่าจะดูแข็งแกร่งมากแค่ไหนแต่ก็มีสิ่งที่แพ้เช่นเดียวกันนั่นก็คือ แสงแดดและกระเทียม ตามความเชื่อของคนในแถบตะวันตก เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าแวมไพร์เป็นเพียงแค่จินตนาการที่ถูกเล่าเรื่องราวผ่านนวนิยายชื่อดังของนักเขียนชาวไอริสอย่าง บราม สโตกเกอร์ เท่านั้น โดยชื่อเสียงของผีดูดเลือดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ เคาต์แดร็กคูล่า นั่นเอง
แต่ถึงจะเป็นจินตนาการในนวนิยาย นักเขียนผู้นี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวละครมาจากบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของโรมาเนียนั่นก็คือชายที่มีชื่อ ว่าวลาดที่ 3 ในสมัยที่ประเทศโรมาเนียมีการแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 รัฐ ว่าวลาดที่ 3 ผู้นี้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรหนึ่งในนั้น
เขาเป็นผู้ปกครองอาณาจักรที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายและทารุณโดยเฉพาะกับศัตรู เมื่อไหร่ก็ตามที่มีนักโทษหรือจับเชลยศึกมาได้ สิ่งที่เขาจะทำก็คือการนำเอาผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นมาเสียบเข้าด้วยไม้จากทวารหนักขึ้นมาจนถึงปาก ทำให้ถึงแก่ความตายอย่างทุกข์ทรมาน
มีการนำเอามาเสียบประจานให้ประชาชนได้เห็นเพื่อก่อให้เกิดความกลัว ถึงแม้ว่าเขาจะมีความเหี้ยมโหดกับทั้งนักโทษและเชลยเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้นประวัติศาสตร์ก็ได้ยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
เพราะถึงแม้ว่าจะโหดเหี้ยมมากแค่ไหน เขาก็สามารถปกป้องบ้านเมืองให้รอดพ้นจากการรุกรานโดยจักรวรรดิออตโตมันได้สำเร็จตลอดศตวรรษที่ 15 นอกจากนี้ขณะที่ทำสงครามกับชาวเติร์ก ท่านเคาต์ผู้นี้ก็ยังสละชีวิตตนเองในสนามรบอีกด้วย
หลังจากที่นวนิยายเรื่องนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง มันก็ได้กลายมาเป็นตำนานต้นกำเนิดของแวมไพร์ สิ่งมีชีวิตสุดสยองขวัญที่น่ากลัวมากที่สุดอีกสายพันธุ์หนึ่งบนโลกใบนี้ ดังนั้นภาพจำของเราจึงเป็นชายผิวขาวหน้าตาเหมือนฝรั่ง ตอนกลางวันอาศัยนอนหลับอยู่ในโลงศพสไตล์แบบตะวันตกที่มีไม้กางเขนอยู่ด้านบน พอตกกลางคืนก็จะออกมาจากหลุมศพเพื่อออกหาอาหาร
ไม่เพียงเท่านั้นแวมไพร์ยังสามารถแปลงร่างกลายเป็นค้างคาวได้อีกด้วย ด้วยความที่พวกเขามีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์จนเป็นอันตรายและยังสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ ยิ่งทำให้ผู้คนกลัวพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้มันจึงน่าสงสารเป็นอย่างมากกับคนที่ป่วยเป็นโรคแวมไพร์หรือโรค Cutaneous Porphyria มันเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่จะเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ที่อยู่ดี ๆ ผิวหนังก็จะแพ้แสงขึ้นมาเสียอย่างนั้น จากนั้นริมฝีปากยังจะถูกดึงรั้งขึ้นไปข้างบนจนทำให้เห็นฟันอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับแยกเขี้ยวยังไงอย่างนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดภาวะโลหิตจางจนทำให้ผิวดูซีดเผือด ผู้คนเหล่านี้ในอดีตจึงมักจะถูกเข้าใจผิดอยู่เสมอ ที่สำคัญในอดีตที่วิทยาการทางการแพทย์ยังไม่พัฒนาเหมือนในปัจจุบัน แพทย์ในช่วงเวลานั้นก็รักษาด้วยการให้ผู้ป่วยดื่มเลือด ยิ่งทำให้พวกเขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
โรคตื่นแวมไพร์ เมื่อความหวาดกลัวได้กัดกินหัวใจของผู้คน
โรคตื่นแวมไพร์เป็นโรคที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ถึงแม้ว่าเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นที่คุ้นเคยในทุกพื้นที่ทั่วโลกแล้วก็ตาม โดยโรคดังกล่าวนั้นระบาดในประเทศอังกฤษที่เริ่มต้นทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตสุดสยองขวัญดังกล่าวช้ากว่าเพื่อน
โรคนี้ระบาดหนักเป็นอย่างมากในทวีปยุโรปตะวันออกจนมาถึงประเทศอังกฤษ ชาวบ้านในช่วงเวลานั้นต่างหวาดกลัวภูตผีประเภทนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวมันจึงเป็นเรื่องปกติที่สามารถเห็นได้จนชินตาว่า ผู้คนมักจะแขวนพวงกระเทียมบนคอไปไหนมาไหนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในตอนกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม
ที่น่าแปลกใจก็คือ ในช่วงเวลานั้นการสื่อสารยังไม่สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเหมือนในปัจจุบัน แต่ข่าวลือเกี่ยวกับแวมไพร์กลับแพร่กลับกระจายไปทั่วทั้งยุโรปได้อย่างรวดเร็วเสียอย่างนั้น ทำให้เหล่าผู้นำต่างโต้เถียงกันว่าเรื่องดังกล่าวมันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่ และจะมีนโยบายอะไรที่ช่วยให้ผู้คนหายจากอาการหวาดกลัว เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล่าหรือแม้แต่ตัวละครในนวนิยาย สุดท้ายไม่ว่าจะทำอะไรคนก็ยังคงรู้สึกกลัวแวมไพร์อยู่ดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าแปลกประหลาดมากมายที่น่าเหลือเชื่อ แต่ผู้คนในยุคนั้นก็เชื่อสนิทใจอย่างเช่น
การที่มีกองทัพผีดิบบุกเข้ามาในพระราชวังของฮังการี และทำร้ายผู้คนรวมไปถึงทหารจนทำให้ทั้งวังนั้นเต็มไปด้วยผีดิบ การที่พระราชวังเครมลิมนั้นมีผีดิบออกมาอาละวาดไปทั่วทั้งพื้นที่ ช่วงเวลานั้นถึงขั้นมีการประกอบอาชีพใหม่อย่างนักล่าผีกันเลยทีเดียว
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ มีผู้บริสุทธิ์จำนวนไม่น้อยที่ถูกนำเอามาทรมานเพื่อให้ยอมรับว่าพวกเขานั้นเป็นหนึ่งในผีดิบ มีการนำเอาลิ่มตอกลงบนหน้าอกของพวกเขาแบบเป็น ๆ บ้างก็ถูกนำเอาไปย่างสดก็มีให้เห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ดำมืด ซึ่งเกิดมาจากความกลัวในจิตใจผู้คนแทบจะไม่แตกต่างอะไรจากยุคล่าแม่มดเลยแม้แต่น้อย
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ สายมู.com