น้ำมนต์ ต้นกำเนิดแห่งความศรัทธาและพิธีกรรม

by saimu
0 comment
น้ำมนต์

หลายคนคงเคยได้ยินคนโบร่ำโบราณพูดว่า ถ้าดวงตกหรือโดนผีเข้าก็ให้ไปขอน้ำมนต์จากวัด ซึ่งทำให้สงสัยว่า น้ำที่ภายนอกก็ดูเหมือนกับน้ำเปล่าปกติทั่วไป มันมีคุณสมบัติอะไรมากมายถึงขนาดนั้น ทำไมพระทุกวัดจึงต้องมีน้ำพระพุทธมนต์เอาไว้ใช้ประพรมญาติโยมที่มาทำบุญอยู่เสมอ วันนี้เราจะพาทุกคนไปล้วงลึกถึงประวัติความเป็นมาว่ามันมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับศาสนาพุทธ

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่

เปิดประวัติความเป็นมาของน้ำมนต์ กุศโลบายคลายเศร้าของพระพุทธเจ้า

น้ำมนต์

ก่อนที่น้ำมนต์จะกลายมาเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมดวงหรือช่วยไล่ผีในยุคนี้ เชื่อว่าน้อยคนจะรู้ว่าความเป็นมาของมันเกิดจากกุศโลบายของพระพุทธเจ้า ที่ต้องการจะคลายความเศร้าหมองให้กับผู้คน ต้นกำเนิดจึงต้องย้อนกลับไปในยุคพุทธกาล 

ในช่วงเวลานั้นเมืองไพศาลีต้องเผชิญกับภัยพิบัติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนที่แห้งแล้ง ฝนไม่ตกติดต่อกันยาวนานจนทำให้อากาศไม่ดี ผู้คนต่างเจ็บป่วยล้มตาย มีวิกฤตข้าวยากหมากแพงที่ทำให้คนอดอยากปากแห้ง หมอที่มีก็ไม่เพียงพอสำหรับการรักษาคนป่วย

ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ฝังร่างกันแทบไม่ทัน สุดท้ายก็ทิ้งร่างผู้ล่วงลับกันเกลื่อนเมือง กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคจนทำให้มีผู้ป่วยตามมาอีกมากมาย พระราชาเกิดความร้อนใจ จึงได้ปรึกษากับเหล่าขุนนางอำมาตย์ จนสุดท้ายได้ความว่า ควรหานักปราชญ์ที่จะมาชี้ทางแก้ไขให้กับเมือง ทุกคนเห็นตรงกันว่า ควรเชิญพระพุทธองค์ให้เดินทางมายังเมืองไพศาลี เพื่อหาแนวทางการแก้ไข

หลังจากพระพุทธเจ้าเดินทางมาถึง พระองค์ก็สามารถพยากรณ์ได้เลยว่า อีกไม่นานจะเกิดฝนตกครั้งใหญ่ขึ้นในเมือง เป็นห่าฝนที่เพียงพอสำหรับการชำระล้างให้โรคระบาดที่กำลังเผชิญอยู่หายไป ในเรื่องของความอดอยาก อาหารที่ได้จากฝนตกในครั้งนี้ก็จะเพียงพอสำหรับคนที่เหลือรอดอยู่ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับพระราชาว่า อีกไม่นานจะเกิดฝนตกครั้งใหญ่ ให้พระราชารับมือด้วยการพาชาวบ้านย้ายออกชั่วคราวเพื่อป้องกันผลกระทบ

น้ำมนต์

หลังจากนั้นไม่นาน พายุฝนก็พัดเข้าสู่เมืองจนทำให้น้ำท่วมสูงขึ้นมาถึงระดับอก หากตรงไหนเป็นพื้นที่ลุ่มก็ท่วมขึ้นมาสูงจนถึงคอ แต่นับเป็นโชคดีที่ฝนได้พัดพานำเอาร่างผู้เสียชีวิตและเชื้อโรคลงสู่แม่น้ำใหญ่ไปจนเกือบหมด 

หลังจากฝนหยุดตก ชาวบ้านก็ได้กลับมาอาศัยอยู่ในเมืองตามเดิม คนป่วยลดน้อยลง หมอสามารถรักษาผู้ป่วยง่ายขึ้นกว่าเดิม อาหารก็มีเพียงพอสำหรับคนที่ยังเหลืออยู่ ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ยกเว้นเสียแต่ผู้คนที่ยังขาดกำลังใจในการใช้ชีวิต

ในอดีตที่พระพุทธศาสนายังไม่ได้รับความนิยมเหมือนในปัจจุบัน แม้พระพุทธเจ้าจะได้รับการยกย่องให้เป็นนักปราชญ์และผู้รู้ แต่ชาวเมืองก็ยังคงเชื่อว่า หากได้ดื่มหรืออาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็จะช่วยชำระกายใจของพวกเขาให้บริสุทธิ์ 

พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้คิดต่อต้าน แต่ค่อย ๆ หว่านล้อมและให้ข้อคิดกับเหล่าชาวเมืองให้คิดอย่างถูกต้อง โดยกล่าวว่า หากคนจะบริสุทธิ์ด้วยการดื่มหรืออาบน้ำในแม่น้ำ เหล่าช้างม้าวัวควายก็คงจะบริสุทธิ์เหมือนกัน เพราะพวกมันก็อาบและดื่มกินน้ำในแม่น้ำ

แต่สำหรับคนที่ประพฤติตัวอยู่ในศีลในธรรม น้ำที่ดื่มหรือน้ำที่อาบ แม้ว่าจะเป็นน้ำธรรมดา ก็จะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนผู้นั้นได้เหมือนกัน หากจะดื่มน้ำหรืออาบน้ำ ควรเลือกบริเวณที่มีน้ำใสสะอาด เป็นการป้องกันไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วยอีก พระพุทธองค์จึงได้สั่งพระอานนท์ให้ทำน้ำมนต์ในบาตรของพระองค์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวบ้าน

น้ำในบาตรก็เป็นน้ำธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อพระพุทธองค์ประพรมน้ำมนต์ให้กับชาวบ้าน ทุกคนต่างรู้สึกชุ่มชื่นและดีใจ รู้สึกเหมือนตนเองได้รับพรให้เริ่มต้นชีวิตครั้งใหม่อย่างบริสุทธิ์ผ่องใสอีกครั้ง หลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้แสดงธรรมรัตนสูตร นับตั้งแต่นั้น ชาวเมืองก็ใช้ชีวิตโดยรักษาศีล 5 พวกเขาจึงมีชีวิตที่ปกติสุข

ล้วงลึกพิธีกรรม การทำน้ำมนต์ที่ได้รับวัฒนธรรมจากศาสนาพราหมณ์

น้ำมนต์

แม้ว่าในสมัยพุทธกาล น้ำมนต์จะเป็นน้ำธรรมดาทั่วไปที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นกุศโลบายเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้คน แต่ในยุคนี้ที่มันกลายมาเป็นเครื่องมือเสริมความเป็นสิริมงคลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การจะทำน้ำพระพุทธมนต์ขึ้นมาจึงต้องมีพิธีกรรมด้วย โดยได้รับแนวคิดมาจากศาสนาพราหมณ์ที่อาบน้ำล้างบาปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์

วิธีการคือ ตั้งหม้อน้ำหรือบาตรพระ จุดเทียนไว้ข้างใต้ ผูกสายสิญจน์โยงจากบาตรมายังมือของพระที่สวดรัตนสูตร หลังจากนั้นหัวหน้าคณะพระสงฆ์ก็จะปลดเทียนออกมาเวียนบริเวณปากบาตร เสร็จแล้วก็จะดับเทียนด้วยการเอาจุ่มลงไปในน้ำเพื่อดับไฟในทันที แล้วปิดฝาครอบเอาไว้

น้ำมนต์ น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำได้มากกว่าแค่การประพรมหัว

น้ำมนต์

น้ำมนต์เป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อว่ามีพุทธคุณหลากหลาย สามารถใช้งานได้มากกว่า 1 รูปแบบ แม้ว่าในสมัยโบราณจะทำขึ้นมาเพื่อใช้ในการอาบหรือดื่มเป็นหลักก็ตาม สำหรับใครที่ได้น้ำพระพุทธมนต์มาแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้กับอะไรดี สิ่งที่สามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้มีดังนี้

  1. ประพรมภายในบ้าน ให้เราเอาน้ำมนต์ประพรมไปตามจุดต่าง ๆ ภายในบ้าน เชื่อว่าจะช่วยเสริมให้ดวงชะตาของผู้ที่อยู่อาศัยภายในบ้านมีความเป็นสิริมงคลและชีวิตรุ่งเรือง วิธีการคือ นำเอาน้ำพระพุทธมนต์หยดลงไปในขันประมาณ 5 หยด ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บ้านหลังนี้มีแต่ความเจริญและสิ่งดี ๆ จากนั้นก็สามารถพรมไปตามจุดต่าง ๆ ได้เลย
  2. ผสมน้ำเพื่ออาบ วิธีการคือนำเอาน้ำมนต์หยดลงไปในอ่างอาบน้ำของเราเล็กน้อย จากนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐานโดยระหว่างนั้นให้นำเอามือไปวนในน้ำ 9 รอบ จากนั้นอธิษฐานในใจว่า ขอให้น้ำพระพุทธมนต์มีพุทธคุณชะล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต คิดทำอะไรก็ขอให้สมปรารถนา อาบแล้วขอให้มีแต่สิ่งดี ๆ
  3. รดน้ำต้นไม้ ใครที่เชื่อเรื่องต้นไม้มงคล เราสามารถนำเอาไปรดน้ำต้นไม้ปีละ 1-2 ครั้งได้ มันจะช่วยเสริมพลังงานดีให้กับต้นไม้ได้มากขึ้น
  4. ใส่ลงไปในน้ำพุ บ้านของใครมีน้ำพุประดับตกแต่งอยู่ เราสามารถนำเอาน้ำพระพุทธมนต์ประมาณ 5 หยด ใส่ลงไปในน้ำพุแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้จากนี้น้ำภายในบ้านของเราเป็นน้ำที่ดี ช่วยส่งเสริมให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านมีความอยู่เย็นเป็นสุข ค้าขายร่ำรวย ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สมความปรารถนาในทุกด้าน

ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ สายมู.com

You may also like

Leave a Comment