ปลัดขิก รูปจำลองที่ผู้คนนิยมบูชาเพื่อช่วยเพิ่มความนิยมชมชอบ 

by saimu
0 comment
ปลัดขิก

ประเทศไทยนั้นเป็นเมืองพุทธ ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเปิดกว้างหรือพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องเพศสักเท่าไหร่ แต่เรากลับมีของที่ผู้คนนิยมบูชาอย่าง “ปลัดขิก” ซึ่งเป็นรูปจำลองอวัยวะเพศของผู้ชายเสียอย่างนั้น ซึ่งผู้คนเชื่อกันว่าหากบูชาเอาไว้ก็จะโชคดี ไปไหนมาไหนก็มีคนรัก แต่ความจริงแล้วมันคืออะไรกันแน่และเพราะเหตุใดจึงต้องเป็นรูปจำลองอวัยวะเพศของผู้ชาย วันนี้ สายมู.com จะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน

ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่ 

ทำความรู้จักกับปลัดขิก รูปจำลองที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดู 

ปลัดขิก

ปลัดขิก สำหรับบางคนแค่เห็นก็รู้สึกเขินแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการบูชาพกพาไปไหนมาไหนติดตัวเลยด้วยซ้ำไป นั่นก็เป็นเพราะว่าลักษณะภายนอกของเครื่องรางดังกล่าวนั้น มีลักษณะเดียวกับเครื่องเพศหรืออวัยวะของเพศชายนั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำมาจากไม้แต่ก็มีบ้างที่ถูกแกะสลักมาจากหินเช่นเดียวกัน 

ปลัดขิก มีหลากหลายชื่อเรียกไม่ว่าจะเป็น “ขุนแพ็ด” “อ้ายชิก” หรือ “ไอ้ขิก”  ความจริงแล้วมันได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าในปัจจุบันอาจจะไม่มีใครพกพาไปไหนมาไหน ส่วนใหญ่ก็จะบูชากันอยู่ในบ้านด้วยรูปทรงที่ค่อนข้างน่าเขินอาย 

ไม้ที่ใช้ในการแกะสลักนั้นส่วนใหญ่ก็จะใช้ไม้มงคล บ้างก็มีการแกะสลักมาจากหินหรือแร่มีค่าอย่างเช่น ทองแดง ทองเหลือง ไปจนถึงกัลปังหาหรืองาของสัตว์แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน ลักษณะจะเหมือนกับอวัยวะของเพศชายเพียงแต่ไม่มีหนังหุ้มปลาย ขนาดก็จะมีแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ขนาดเล็ก ๆ เป็นจี้สำหรับห้อยคอ ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่ใช้ไม้ทั้งท่อนในการแกะสลัก 

หลังจากแกะสลักเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะถูกปลุกเสกโดยพระภิกษุหรือผู้ที่มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ ก่อนจะนำมาเป็นของขลังให้ทุกคนได้บูชากัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมที่ปลุกเสกมาจากพระภิกษุมากกว่า เพราะเชื่อว่าจะมีพุทธคุณติดมาด้วย 

ดังนั้นส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่เราเห็นกัน จึงมีน้อยชิ้นที่ถูกปลุกเสกมาจากผู้ที่มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ ส่วนที่มาของชื่อนั้นยังคงเป็นปริศนา แต่ว่ากันว่าคำว่าปลัดนั้น น่าจะมาจากคำพ้องเสียงของคำว่า “ปราศวะ” ซึ่งในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่าเคียงข้าง เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่นิยมบูชา ก็มักจะแขวนเอาไว้ที่คอหรือข้างเอว เวลามีผู้คนพบเห็นก็มักจะเกิดเสียงหัวเราะคิกคักจึงเพี้ยนมาเป็นคำว่า “ขิก” นั่นเอง 

ปลัดขิก

สำหรับประวัติความเป็นมาของปลัดขิกที่เล่าสืบต่อกันนั้นเชื่อว่า เกิดจากอิทธิพลที่แพร่ขยายมาจากชาวอินเดียในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับชาวฮินดูที่มีการนับถือพระอิศวรและมีการบูชาแท่งหินแกะสลัก ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องเพศของผู้ชายโดยเรียกว่า “ศิวลึงค์” 

จุดเริ่มต้นของการบูชาปลัดขิกนั้น มาจากการที่มนุษย์เราบูชาพระจันทร์และพระอาทิตย์ โดยใช้เสาหินที่ผสมผสานกันระหว่างรูปร่างของพระจันทร์และพระอาทิตย์ ทำให้เวลาดูผิวเผินจะมีลักษณะใกล้เคียงกับอวัยวะของเพศชาย ประกอบกับสิ่งที่ผู้คนเชื่อเกี่ยวกับพระศิวะและพระแม่อุมา ทำให้มีการสร้างแท่นหินบูชาที่มีขนาดเล็กลงเพื่อความสะดวกสบายในการพกพา

ปลัดขิก

มีบางตำนานเล่าอีกด้วยว่า ในวันหนึ่งพระศิวะได้เสพสังวาสกับพระแม่อุมาในบริเวณท้องพระโรง เทพที่มาเข้าเฝ้าก็ได้พบเห็นจึงเกิดความไม่นับถือต่อพระศิวะ พระศิวะจึงเกิดโทสะและประกาศก้องในท้องพระโรงว่า อวัยวะเพศของพระองค์นั้นจะปกป้องคุ้มครองทุกคนที่กราบไหว้บูชา ไม่ว่าจะมนุษย์หรือเทพหากต้องการประสบความสำเร็จและมีความสุขก็ต้องเคารพบูชาอวัยวะเพศของพระองค์ 

และยังมีตำนานเล่าอีกด้วยว่า ครั้งหนึ่งเมื่อเกิดโรคระบาดจนผู้คนล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก ผู้คนเชื่อว่าเกิดมาจากพระแม่อุมาบรรดาโทสะโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุ พราหมณ์จึงแก้ปัญหาด้วยการบูชาสิ่งที่มีลักษณะเหมือนกับอวัยวะเพศชาย โดยให้เป็นตัวแทนของพระศิวะ จนโรคระบาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย 

สำหรับในประเทศไทยแล้ว ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า เราเริ่มต้นบูชากันมาตั้งแต่ในยุคสมัยไหน แต่มีความแตกต่างจากศิวลึงค์ของศาสนาฮินดูไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่มักทำมาจากผู้ที่มีความรู้ด้านไสยศาสตร์มาก่อน เชื่อว่าหากพกติดตัวก็จะสามารถป้องกันอันตรายได้ หากทำมาค้าขายก็จะค้าขายดี ร่ำรวยแบบเงินทองไหลมาเทมา 

ปลัดขิกในยุคปัจจุบัน เมื่อเครื่องเพศของผู้ชายกลายเป็นของที่ทุกคนบูชา

ปลัดขิก

ปลัดขิก ในยุคปัจจุบันนั้นก็ยังคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเคารพบูชา เพื่อเสริมดวงและเสริมเมตตามหานิยม โดยเฉพาะตามร้านค้าทั้งหลายเรายังจะคงเห็นวางตั้งอยู่เป็นประจำ มีพุทธคุณที่ช่วยให้ผู้คนหลงรักและมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีผู้คนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เสมอ 

แต่อย่างไรก็ตามด้วยเวลาที่ผ่านไปทำให้ความนิยมลดลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด จากที่ในอดีตเด็กชายหรือผู้ชายก็มักจะพกติดตัวกันอยู่เป็นประจำ เราก็มักจะเห็นผู้คนบูชากันในบ้านมากกว่า ไม่เพียงเท่านั้นมันยังถูกมองว่าเป็นงานศิลปะรูปแบบหนึ่งอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ชาวต่างชาติจึงนิยมบูชาเพื่อเก็บเป็นงานสะสมมากกว่าเพื่อให้เกิดพุทธคุณ 

You may also like

Leave a Comment