ประเทศไทยของเรานั้นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมายโดยเฉพาะเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ “เหล็กไหล” ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องราวลี้ลับที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น สิ่ง ๆ นี่ถือว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ในอดีตเคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันที่เครื่องรางของขลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ก็ส่งผลให้เหล็กไหลนั้นกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักและเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ที่มีให้เห็นอยู่ตลอด วันนี้ สายมู.com จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเครื่องรางของขลังชิ้นนี้กัน ธาตุศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีลักษณะเป็นอย่างไร และมีกี่ประเภท ซึ่งทั้งหมดจะมีความศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ไปติดตามกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับเหล็กไหลแต่ละประเภท
เหล็กไหล นั้นจัดว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากในประเทศไทยแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านของเราอีกหลายประเทศก็มีธาตุศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวไม่แพ้กัน เชื่อว่าพวกเขานั้นจะเป็นโลหะสีดำคล้ายกับนิล หากลนไฟจะสามารถยืดออกมาได้ ก่อนจะใช้ต้องทำการชโลมด้วยน้ำผึ้งแล้วใช้ไฟลน เหล็กก็จะยืดตัวออกมากินน้ำผึ้งและเล่นไฟ ต้องลนไฟจนกว่าพวกเขาจะมีความบางเหมือนกับเส้นด้ายจึงจะสามารถตัดออกจากกันได้ นับว่าเป็นเครื่องรางที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว
พวกเขาจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ระดับ ประกอบไปด้วย ระดับแรกที่จะมีลักษณะแวววาว ส่วนที่ถูกลนไฟจะสามารถยืดออก ได้นับว่าเป็นของขลังที่มีฤทธิ์มากที่สุด ระดับ 2 เป็นระดับที่มีความแวววาวน้อยกว่าระดับแรกและไม่สามารถยื่นออกได้เมื่อถูกลนไฟ มีฐานรองที่แข็งและใช้สำหรับการยึดติดกับผนังถ้ำ และระดับสุดท้ายจะมีลักษณะเหมือนกับน้ำตาเทียนและมีสีดำด้าน เมื่อทุบแล้วสามารถแตกหักได้ไม่มีฤทธิ์ใด ดังนั้น จึงไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ เราสามารถแบ่งประเภทของเหล็กไหลออกมาได้ถึง 10 ประเภทเลยทีเดียว ประกอบไปด้วย
- โกฏิปี เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากมากที่สุดและมีฤทธิ์เดชมากที่สุดทำให้ตัดยาก หากตัดไม่ดีก็อาจจะส่งผลถึงชีวิตเลยทีเดียว แถมการเก็บรักษาก็ยากอีกด้วย ลักษณะจะมีความแวววาวและเป็นสีเขียวคล้ายกับปีกแมลงทับ
- เจ้าป่า อานุภาพจะใกล้เคียงกับแบบแรกแต่จะมีสีดำเหมือนกับนิล หาได้ยากแถมยังไม่แข็งตัวตามธรรมชาติอีกด้วย เชื่อว่าหากบูชาไว้ก็จะได้เทพที่ปกป้องคุ้มครองป่ามาคุ้มครองเรา
- เพลิง มีลักษณะที่แตกต่างจากแบบอื่นเนื่องจากมีพลังงานไฟสูงมากจนมีสีแดงคล้ายกับเลือด เนื้อจะมีสีใส หากพลังงานน้อยลงหรือลดลงก็จะทำให้มีสีส้มเหมือนกับอิฐมอญ ไม่ควรฝังในร่างกายเพราะมีความร้อนสูง นอกจากนี้สามารถดูดซับพิษของสัตว์ชนิดอื่นเอาไว้ได้อีกด้วย
- เงินยวง มักพบได้ตามบริเวณที่มีอากาศเย็นสบายหรืออากาศหนาวเย็นจัด โดยเฉพาะในประเทศทิเบตและเนปาล ลักษณะจะมีความมันเงาเหมือนกับปรอท เชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิตอยู่เป็นชีปะขาวที่คอยดูแลรักษาโลหะชิ้นนี้เอาไว้
- น้ำ ลักษณะจะเป็นก้อนสีเขียวแกมดำหรือสีน้ำตาลอมแดง ส่วนใหญ่แล้วมักพบตามแหล่งน้ำเหมือนกับชื่อของพวกเขา ค่อนข้างหาได้ยากและคนทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไหร่ ในยุคโบราณมักนำเอาโลหะชนิดนี้มาเคี่ยวพร้อมกับลงคาถาอาคม ก่อนหล่อเป็นอาวุธที่ทรงพลังหรือใช้หล่อเป็นพระพุทธรูป
- เปียก ลักษณะจะมีความคล้ายคลึงกับประเภทเงินยวง เพียงแต่ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนสีได้
- งอก ลักษณะของโลหะชนิดนี้จะแข็งตัวได้ตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงแตกต่างจากประเภทอื่นที่มีลักษณะเหมือนกับของเหลว จัดว่าเป็นของชั้นรองที่ตัดได้เลยโดยไม่ต้องใช้วิชาอาคม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีพิธีในการขอเจ้าที่ให้ช่วยคุ้มครองด้วยเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดเพศภัยหรือเรื่องร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
- ทรหด เป็นชนิดที่มีอนุภาพใกล้เคียงกับแบบงอก แต่จะมีลักษณะงอกออกมาเป็นก้อนไม่เหมือนกับหินงอกหินย้อยแต่อย่างใด ยิ่งงอกออกมาขนาดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีความเย็นเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการใช้บำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้จิตใจสงบร่มเย็นอีกด้วย
- ย้อย เป็นประเภทที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ โดยเริ่มต้นจากขนาดเท่ากำปั้นไปจนถึงขนาดเท่ากับโอ่งเลยทีเดียว มีหลายสีสันไม่ว่าจะเป็นสีรุ้ง สีดำอมแดงหรือสีน้ำเงิน ลักษณะเหมือนกับน้ำตาเทียนและงอกออกมาใหม่ได้เรื่อย ๆ เชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิตอยู่โดยเป็นวิญญาณของฤๅษีที่บำเพ็ญภาวนาจนมีตบะแรงกล้า ดังนั้น จึงนิยมใช้ในการเสริมดวงและปกป้องจากอันตรายเป็นอย่างมาก
- หยด ลักษณะจะเหมือนกับน้ำตาเทียนที่ถูกไฟลนจนหยดออกมา จะมีสีดำด้านและมีรูพรุน ข้างในกลวง คุณภาพค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่
ทำอย่างไรหากต้องการบูชาเหล็กไหลเพื่อช่วยเพิ่มความโชคดี
หากคุณต้องการบูชาเหล็กไหลเพื่อช่วยเสริมความโชคดีให้กับตนเอง หลังจากที่ตัดออกมาด้วยพิธีกรรมที่ถูกต้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราจะต้องบูชาต่อด้วย เนื่องจากโลหะชนิดนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีความเคารพศรัทธาโดยเฉพาะต่อครูบาอาจารย์ ที่ถ่ายทอดคาถาอาคมลงในโลหะดังกล่าว
โดยคาถาบูชาให้เริ่มต้นจากการตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วยคาถา พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ สะกะพะจะ บูชา จะ มหาบูชา ท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ อันทรงฤทธิ์อานุภาพนี้ อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย หลั่งไหลเข้ามาสู่ตัวข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล ของผู้บูชา) สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ นะมะอะอุ (ในท่อนนี้ให้กำหนดจิตเพื่อรับพลังเข้าไปที่หน้าผาก หน้าอก หลัง และหน้าท้องบริเวณสะดือ) นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ