ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่เข้าร่วมกับทุกงานบนโลกใบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนประเทศของเราก็สามารถร่วมสนุกได้ทุกงาน อย่างเช่น วันคริสต์มาส ที่ถึงแม้ว่าชาวไทยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ แต่เราก็สามารถสนุกสนานไปกับวันดังกล่าวได้ด้วยการประดับตกแต่งบ้านให้สวยงาม การจัดงานเฉลิมฉลอง การแต่งตัวร่วมกิจกรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าวันคริสต์มาสมีประวัติความเป็นมาอย่างไรและมีความสำคัญอย่างไรบ้าง
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เปิดประวัติความเป็นมาของวันคริสต์มาส วันประสูติของพระเยซู
วันคริสต์มาส เป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ดังนั้นมันจึงเป็นวันที่มีความสำคัญในศาสนาคริสต์เป็นอย่างมาก และมีความหมายไม่แพ้กับวันอื่นใดเลยแม้แต่น้อย
จุดเริ่มต้นของเทศกาลดังกล่าวจึงต้องย้อนกลับไปในอดีตเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ในยุคหนึ่งจักรพรรดิออกัสตัสได้รับสั่งให้ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรโรมันต้องลงทะเบียนสำมะโนประชากร มารีย์และโยเซฟจึงต้องออกเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮมขณะที่มารีย์กำลังตั้งท้องลูกอยู่
เมื่อถึงกำหนดคลอดเธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปีออกมาในคอกแกะและใช้ผ้าพันกายเด็กทารกน้อยก่อนจะวางเอาไว้บนรางหญ้า เนื่องจากไม่มีโรงแรมว่างให้พวกเขาได้เข้าพักเลย ในคืนนั้นทูตสวรรค์ก็ได้ปรากฏกายขึ้นต่อหน้ากลุ่มคนเลี้ยงแกะ
พวกเขาตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ทูตสวรรค์ได้ปลอบพวกเขาและกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เรามาบอกข่าวดี คืนนี้เมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์เป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า เป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือจะพบกุมารที่มีผ้าพันตัวนอนอยู่ในรางหญ้า”
และหลังจากนั้นก็มีทูตสวรรค์อีกมากมายปรากฏตัวขึ้นมาร้องเพลงสรรเสริญ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระผู้เป็นเจ้าสถิตสูงสุดในสวรรค์ สันติสุขบนพิภพจงเป็นของผู้ที่พระองค์พอพระทัย
ความจริงแล้วตามคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ระบุวันหรือเดือนที่พระเยซูประสูติแต่อย่างใด แต่ชาวคริสต์เลือกใช้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันคริสต์มาส นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 โดยนักประวัติศาสตร์ได้ให้เหตุผลเอาไว้ว่า
ในปี 274 จักรพรรดิอัลเรเลียนได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันฉลองวันประสูติของสุริยเทพ ชาวโรมันจึงได้ฉลองกันในวันนี้อย่างคับคั่งเพราะจัดว่าเป็นวันฉลองแก่พระจักรพรรดิไปด้วยในตัว ชาวคริสต์ที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันก็เกิดความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจในการฉลองวันเกิดของสุริยเทพ
ด้วยเหตุนี้จึงฉลองการประสูติของพระเยซูแทน จนเข้าสู่ปี 330 ก็ได้มีการฉลองวันคริสต์มาสกันอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
กิจกรรมที่นิยมทำกันในวันคริสต์มาส
ในวันคริสต์มาสนอกจากจะมีการเฉลิมฉลองและการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวอย่างมีความสุขแล้ว ความจริงแล้วก็ยังคงมีกิจกรรมทางศาสนามากมายที่ชาวคริสต์นิยมทำเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น
พิธีมิสซาเที่ยงคืน
หลังจากที่พระสันตะปาปาจึงรีรัตน์ที่ 1 ได้ประกาศว่าวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปีจะเป็นวันฉลองพระคริสต์สมภพ พระองค์พร้อมสัตบุรุษก็ได้เดินสวดภาวนาและขับร้องไปยังเบธเลเฮม เพื่อเดินทางไปยังถ้ำที่พระเยซูประสูติขึ้นมา
เมื่อไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน พระสันตะปาปาจึงได้ถวายบูชาบริเวณนั้นและเดินทางกลับมาที่พักถึงตอนเช้ามืดประมาณตี 3 พระองค์ก็ได้ทำพิธีอีกครั้งเพื่อสัตบุรุษ
ดังนั้นพระสันตะปาปาจึงได้อนุญาตให้พระสงฆ์สามารถทำพิธีได้ 3 ครั้งในวันดังกล่าวเหมือนกับที่ตนปฏิบัติ นับตั้งแต่นั้นจึงมีธรรมเนียมการทำพิธีตอนเที่ยงคืนและสามารถทำได้ถึง 3 ครั้ง นั่นเอง
การเฉลิมฉลองและร้องเพลง
เนื่องจากวันคริสต์มาสเป็นวันประสูติของพระเยซู ดังนั้นทุกคนจึงมักจะเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเฉลิมฉลองร่วมกัน แต่ละครอบครัวก็จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นการรับชมภาพยนตร์ การรับประทานอาหารร่วมกัน การแลกของขวัญ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
ประดับตกแต่งต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาส หรือ ต้นสน เป็นสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาสอย่างแท้จริง ในอดีตนิยมใช้ต้นสนจริงแต่ในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่เลือกใช้ต้นสนปลอม เนื่องจากดูแลง่ายและสามารถนำเอากลับมาใช้ซ้ำได้ในปีต่อไป
เป็นกิจกรรมที่คนในครอบครัวจะได้ร่วมกันตกแต่งประดับประดาต้นคริสต์มาสให้สวยงามด้วยลูกบอล กล่องของขวัญชิ้นเล็ก ดวงดาว สโนว์แมน
จากนั้นก็ประดับด้วยไฟที่มีสีสันสวยงาม จนคนไทยหลายคนเรียกไฟประดับเหล่านี้ติดปากว่า ไฟคริสต์มาส ในอดีตชาวคริสต์เชื่อว่าต้นคริสต์มาสเป็นต้นไม้ที่อยู่ในสวนเอเดน ซึ่งเป็นอุทยานของพระเจ้าอีกด้วย มันจึงนับว่าเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว
นักบุญนิโคลัส นักบุญผู้เป็นต้นแบบของมาสคอตในวันคริสต์มาส
หากพูดถึงตัวละครที่เปรียบเสมือนกับมาสคอตในวันคริสต์มาส เชื่อว่าหลายคนจะต้องนึกถึงซานตาครอสออย่างแน่นอน เขาเป็นชายสูงอายุท่าทางใจดี มีผมและหนวดที่ยาวเฟิ้มเป็นสีขาว สวมใส่เสื้อผ้าเป็นสีแดงที่มีขนสัตว์ประดับประดาอยู่ตามมุมผ้า สวมใส่หมวกทรงสามเหลี่ยมสีแดงและมีพู่สีขาวบริเวณปลายหมวก ทำหน้าที่ในการแจกของขวัญให้กับเด็กดีทั่วทั้งโลก
แต่ทราบหรือไม่ว่าความจริงแล้วเขามีตัวตนอยู่จริง เป็นนักบุญที่มีชื่อว่า นิโคลัส ซึ่งอาศัยอยู่ในตุรกีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 เป็นบาทหลวงที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจดีกับเด็กเป็นอย่างมาก ต่อมาท่านก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งฮอลแลนด์ภายใต้ชื่อซินเตอร์คลาส ก่อนที่ในภายหลังชาวอเมริกันจะได้รับวัฒนธรรมดังกล่าวมาและเรียกชื่อเพี้ยนมาเป็นชื่อในปัจจุบัน
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ สายมู.com