ใครที่เคยรับชมละครย้อนยุคช่วงกรุงศรีอยุธยามาก่อน คงเคยได้ยินชื่อวัดพนัญเชิงวรวิหารผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง เพราะวัดแห่งนี้มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก มีความยิ่งใหญ่อลังการ แถมยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย แม้ว่าจะผ่านการเสียกรุงมาแล้ว แต่วัดแห่งนี้ก็ยังคงสง่างามไม่มีเปลี่ยนแปลง สำหรับใครที่เป็นสายบุญ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับวัดแห่งนี้ให้มากขึ้นกัน
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับวัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดที่ถูกก่อสร้างขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยา
วัดพนัญเชิงวรวิหารถือเป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในและต่างประเทศ เป็นสถานที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อซำปอกงหรือหลวงพ่อโตที่ผู้คนต่างเคารพนับถือ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย หากเราเดินทางไปยังวัดพนัญเชิงแล้วพบเข้ากับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่ก่อนจะมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยากันเลยทีเดียว โชคดีที่ถึงแม้ว่าวัดแห่งนี้จะผ่านเหตุการณ์การเสียกรุงครั้งที่ 2 มา แต่เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่นอกเกาะเมือง วัดพนัญเชิงจึงไม่ได้ถูกเผาทำลายไปพร้อมกับกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใด
เรายังคงสามารถรับชมความสวยงามของวัดได้เหมือนกับในอดีต ซึ่งยังคงความเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่อลังการ จนเราสามารถจินตนาการได้เลยว่า หากเราไม่เสียกรุงศรีในคราวนั้น วัดแห่งนี้ก็จะยังคงความยิ่งใหญ่และงดงามราวกับเมืองสวรรค์อย่างแท้จริง
ประวัติความเป็นมาของวัดพนัญเชิงวรวิหาร
วัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นพุทธสถานที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความเลื่อมใสของทั้งคนไทยและชาวจีน ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำป่าสัก ตำบลคลองสวนพลู อยู่ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมืองอยุธยาห่างกันประมาณ 5 กิโลเมตร ไม่มีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าใครที่เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา
แต่ตามพงศาวดารเหนือมีการกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้ที่ก่อสร้างขึ้น โดยพระราชทานนามไว้ว่าวัดเจ้าพระนางเชิง ในพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐเล่าว่า ได้สถาปนาพระพุทธรูปที่มีชื่อพุทธเจ้าพแนงเชิง ตั้งแต่ในปี พ.ศ. 1867 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรี
ตำนานโศกนาฏกรรมความรักที่มาของชื่อวัดพนัญเชิงวรวิหาร
วัดพนัญเชิงวรวิหารไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำคัญของชาวพุทธเท่านั้น แต่ยังมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักที่เป็นโศกนาฏกรรมอีกด้วย ในพงศาวดารเหนือระบุว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้ปกครองอโยธยา บริเวณที่มีการสร้างวัดขึ้นมาคือสถานที่พระราชทานเพลิงพระศพของพระนางสร้อยดอกหมาก ผู้เป็นพระราชธิดาบุญธรรมในพระเจ้ากรุงจีนที่อภิเษกสมรสร่วมกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
หลังจากที่พระนางสร้อยดอกหมากเดินทางมาถึงอโยธยา พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ได้รับสั่งให้นางรออยู่บนเรือพระที่นั่งเพื่อจัดขบวนรับเสด็จเข้าสู่ราชวัง แต่เนื่องจากกษัตริย์มิได้เป็นผู้มารับอัครมเหสีด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้พระนางสร้อยดอกหมากจึงไม่ยอมออกจากเรือ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง จนพระเจ้าสายน้ำผึ้งถึงกับรับสั่งออกมาว่า หากไม่ขึ้นก็จงอยู่ที่นี่ ด้วยความน้อยใจ พระนางสร้อยดอกหมากจึงกลั้นใจสวรรคตในทันที ด้วยเหตุนี้จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อวัด และภายในก็มีตำหนักของเจ้าแม่สร้อยดอกหมากตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำป่าสัก กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งโศกนาฏกรรมความรัก
ความน่าสนใจของวัดพนัญเชิงวรวิหารที่เป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว
วัดพนัญเชิงวรวิหาร ในปัจจุบันเป็นโบราณสถานที่เราสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมความสวยงามและสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ พระพุทธะไตรรัตน์นายกหรือหลวงพ่อโต พระพุทธรูปที่ถูกสร้างด้วยศิลปะอู่ทองตอนปลาย
ถูกหล่อขึ้นมาในรูปทรงปางมารวิชัยนั่ง นั่งขัดสมาธิราบ มีหน้าตักกว้างกว่า 14 เมตร และมีความสูงถึง 19 เมตร สร้างขึ้นโดยปูนปั้นและลงรักปิดทอง ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สถาปนากรุงในครั้งแรก
มีการระบุในพงศาวดารหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในปีพ.ศ. 1868 หรือในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาใกล้แตก นอกจากนี้ยังมีคำให้การของชาวกรุงเก่าที่ระบุว่า พระปฏิมากรที่วัดแห่งนี้มีน้ำพระเนตรไหลออกมาอย่างอัศจรรย์
วัดพนัญเชิงวรวิหารยังมีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถถึง 3 องค์เลยทีเดียว มีความเชื่อกันว่า หากได้ไปขอพรแล้วจะประสบผลตามความต้องการ ประกอบไปด้วยพระพุทธรูปปูน พระพุทธรูปทองคำ และพระพุทธรูปนาค
โดยพระพุทธรูปทองคำนั้นเป็นพระพุทธรูปจากสมัยสุโขทัยที่ถูกสร้างขึ้นมาจากทองสัมฤทธิ์ ส่วนพระพุทธรูปปูนปั้นนั้นถูกสร้างขึ้นมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา และพระพุทธรูปนาคถูกสร้างขึ้นมาในยุคสุโขทัย สีจะออกแดง ๆ ดูมีความขลังเป็นพิเศษ
โชคดีที่ในช่วงกรุงศรีอยุธยาแตก พระพุทธรูปทั้งทองและนาค ได้ถูกฉาบเอาไว้ด้วยปูน ทำให้ข้าศึกไม่รู้ว่าภายในนั้นมีพระพุทธรูปที่มีมูลค่ามหาศาลอยู่ พระพุทธรูปเหล่านี้จึงไม่ถูกนำเอาไปเผาเพื่อเอาทองหรือถูกขโมยไป ต้องรอเวลาอีกยาวนานหลายปีเลยทีเดียวกว่าจะมีคนค้นพบว่า พระพุทธรูปทั้ง 2 องค์นั้น ความจริงแล้วถูกสร้างขึ้นโดยของมีค่า เนื่องจากปูนถูกกะเทาะออกมาทำให้เห็นเนื้อภายในที่เป็นทองและนาค
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ สายมู.com